วัสดุปลูก ชนิดของวัสดุปลูกอาจผสมเองขึ้นมาโดยอาศัยวัตถุดิบที่มีอยู่อย่างมากมายในประเทศไทยและมีราคาถูก เช่น ขุยมะพร้าว (coconut coir) ถ่านแกลบ (มีสีดำซึ่งต่างจากขี้เถ้าแกลบที่มีสีขาวปนเทา) (charred husk ) แกลบดิบ (rice husk ) และทราย (sand) อย่างไรก็ตาม ควรคำนึงถึงราคาของวัสดุแต่ละชนิดด้วย ในทางปฏิบัติแล้ว หากมีความยุ่งยากก็อาจใช้ดินผสมสำเร็จรูปก็ได้ แต่ต้องระมัดระวังเกี่ยวกับคุณภาพของวัสดุที่นำมาใช้ผสมด้วย วัสดุสำหรับปลูกมะนาวนั้น ควรเป็นวัสดุที่มีความสามารถในการเคลื่อนย้ายธาตุอาหารหรือแพร่กระจายสารละลายธาตุอาหาร ความชื้นมีความสามารถในการดูดซับน้ำได้ดี ต้องมีคุณสมบัติทางกายภาพที่มีความแข็ง ยุบตัวน้อยรักษาสภาพได้นานและมีการระบายอากาศได้ดี ส่วนคุณสมบัติทางเคมีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือค่าความเป็นกรด ด่างของวัสดุปลูกค่าความเป็นกรดด่างนั้นจะไม่ทำความเสียหายแก่พืชโดยตรงแต่จะส่งผลกระทบต่อการปลดปล่อยธาตุอาหารแก่มะนาวและควบคุมกิจกรรมการทำงานของจุลินทรีย์ การปรับโครงสร้างดินให้มีการระบายน้ำและอากาศได้ดี ทำได้โดยการจัดการตั้งแต่เริ่มเตรียมพื้นที่ โดยใช้ทรายหยาบ แกลบ ถ่านแกลบ ขุยมะพร้าว หรือวัสดุอื่นที่หาง่ายในพื้นที่ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ผสมให้เข้ากันก่อนปลูกมะนาวลงในห่วงซีเมนต์
สัดส่วนของวัสดุ คุณสมบัติของความสามารถในการอุ้มน้ำของวัสดุแต่ละชนิดย่อมแตกต่างกันออกไป ดังนั้น การใช้สัดส่วนของวัสดุปลูกชนิดต่างๆ กันก็ย่อมมีผลต่อการอุ้มน้ำและการระบายน้ำของวัสดุโดยตรงซึ่งย่อมส่งผลต่อการเจริญเติบโตของระบบรากอย่างแน่นอน สัดส่วนที่มีขุยมะพร้าวและถ่านแกลบสูงจะมีการอุ้มน้ำที่ดีขึ้น ความถี่ของการให้น้ำจึงสามารถเว้นช่วงได้ยาวนานมากขึ้นซึ่งเหมาะสมต่อช่วงฤดูแล้ง ในทางกลับกัน หากวัสดุสามารถอุ้มน้ำได้สูงและมีฝนตกชุกต่อเนื่องหรือมีการให้น้ำมากจนเกินควร ก็อาจเกิดภาวะน้ำขัง (waterlogging) ของระบบรากได้ รากขาดออกซิเจน มีอาการใบเหลือง ร่วงหล่น ผลหลุดร่วง ต้น ทรุดโทรมและตายได้ในที่สุด หากสัดส่วนของวัสดุมีทรายในปริมาณที่สูงขึ้น การระบายน้ำก็จะดียิ่งขึ้น มีโอกาสชักนำให้เกิดการออกดอกได้ง่ายขึ้น ในขณะที่ความถี่ของการให้น้ำก็จำเป็นต้องเพิ่มให้มากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
การจัดวางระบบน้ำ
เนื่องจากการปลูกไม้ผลเหล่านี้ กระทำกันในชุมชนที่มีพื้นที่จำกัด บ้านเรือนส่วนใหญ่มีระบบน้ำประปาทุกครัวเรือน การให้น้ำกับพืชที่ปลูกจำเป็นต้องมีความต่อเนื่อง มิฉะนั้นแล้วต้นไม้อาจชะงักการเจริญเติบโตได้ ผลอาจแคระแกรนและหลุดร่วงได้ การให้น้ำนี้นับเป็นความน่าเบื่อหน่ายของหลายท่าน แต่เป็นสิ่งจำเป็นต้องกระทำ เมื่อเป็นดังนั้นแล้วจึงควรที่จะจัดวางระบบการให้น้ำที่ช่วยบรรเทาในสิ่งเหล่านี้ได้ ซึ่งอาศัยแรงดันจากก๊อกน้ำภายในบ้านและจัดวางโดยอาจใช้หัวชนิดพ่นฝอย (mini-sprinkler) หรือหัวผีเสื้อ หรือหัวน้ำหยด (drip nozzle) ก็จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้
การควบคุมทรงพุ่ม
จากสภาพของพื้นที่ที่จำกัดดังกล่าว การควบคุมขนาดของต้นไม้จึงจำเป็นต้องเตรียมการไว้แต่เริ่มแรก โดยกำหนดขนาดของพุ่มต้นที่ต้องการไว้ เช่น 3.5 เมตร 4 เมตรหรือ 5 เมตร การปลูกในภาชนะที่มีปริมาตรจำกัด ก็เป็นทางหนึ่งของการควบคุมระบบรากไปในตัวด้วย ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมทรงพุ่มด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ เพราะในส่วนของระบบรากและส่วนยอดนั้นมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน (root-shoot interrelationship) ในทางกลับกันการควบคุมทรงพุ่มก็ส่งผลต่อการควบคุมปริมาณรากด้วยเช่นกัน ดังนั้น จึงควรกระทำการจัดโครงสร้างของกิ่ง (training) โดยการโน้มกิ่งลง หรือการตัดแต่ง (pruning) เพื่อควบคุมปริมาณของกิ่งและลดการเจริญของกิ่งที่จะเจริญขึ้นในแนวดิ่ง (โดยวิธีการตัดยอดเพื่อกระตุ้นให้แตกตาข้าง) ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่ง ในการควบคุมทรงพุ่มให้ได้ตามขอบเขตของขนาดที่ได้วางเป้าหมายไว้
สภาพแวดล้อม ต้นไม้สร้างอาหารจากกระบวนการสังเคราะห์แสงเท่านั้น ดังนั้น หากปลูกในพื้นที่ที่มีร่มเงามากมีการบดบังแสงจากอาคารเป็นส่วนใหญ่แล้ว ย่อมส่งผลให้ต้นไม้เติบโตช้าลง ต้นอาจยืดยาวไม่แข็งแรง โอกาสที่จะออกดอกและติดผลย่อมลดลงตามไปด้วย
นายสามารถ เศรษฐวิทยา เศรษฐวิทยา ศูนย์วิจัยและพัฒนาไม้ผลเขร้อน สถาบันวิจัยและพัฒนากำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน http://www.gotoknow.org/
บทต่อไป <=คลิก
กลับไปสารบัญ <=คลิก